5 ข้อ เพื่อง่ายต่อการวิเคราะห์คลื่นความถี่ที่ควรใช้กับประเภท RFID Tag และตัวอุปกรณ์ RFID

1. What is your application ?

การจะเริ่มนำระบบ RFID Solution มาประยุกต์ใช้งานภายในบริษัทหรือแม้แต่ภายในโรงงานอุตสาหกรรมนั้นสิ่งแรกที่ควรต้องคิดเบื้องต้นเลยนั่นก็คือ

RFID Solution ที่ต้องการเป็นการทำงานแบบใด เช่น Stock Tracking คือคุณต้องการควบคุมการรับ การเบิก การจัดเก็บ การตรวจนับจำนวนของตัวสินค้า หรืออุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ, Asset Tracking คือคุณต้องการตรวจนับทรัพย์สิน ต้องการรู้ความเคลื่อนไหวของทรัพย์สินภายในบริษัท หรือโรงงานอุตสาหกรรม, Access Control คือคุณต้องการควบคุมและอนุญาตการเข้า-ออกสถานที่แบบอัตโนมัติของบุคคลหรือรถยนต์ เป็นต้น

Application ที่ต้องการใช้งานนั้นเป็นอย่างไร หมายความว่าตัวระบบ Software หรือ Program Back Office สำหรับใช้งานในการจัดการข้อมูลนั้นต้องการการทำงานแบบไหนและต้องการให้แสดงผลข้อมูลออกมาอย่างไร ซึ่งเราควรกำหนดลักษณะของข้อมูลเข้าและแสดงผลของระบบ (Input/Output Specification) โดยต้องรู้ว่าข้อมูลที่ส่งเข้าไปนั้นมีอะไรบ้าง เพื่อให้ Program ประมวลผลและแสดงผลลัพธ์โดยจะขึ้นอยู่กับผู้ใช้งาน Program เป็นหลัก เช่น ข้อมูลประเภท ตัวอักษร (ชื่อสินค้า, ชื่อทรัพย์สิน), ตัวเลข (จำนวนสินค้า), ข้อความ (รายละเอียดอื่นๆ) รวมถึงลักษณะการแสดงผลทางหน้าจอหรือ File Report ว่าต้องการให้มีรูปร่างเป็นอย่างไร

การที่เราต้องทราบเกี่ยวกับรายละเอียด RFID Solution และ Application ของระบบงานก่อนว่าต้องการการทำงานในลักษณะไหน เพื่อเป็นการเลือกตัวอุปกรณ์ RFID Hardware ให้เหมาะสมกับระบบของการทำงานนั้นๆ รวมถึง Requirement ข้อกำหนดลักษณะของข้อมูลเข้าและแสดงผลของตัว Software ที่ต้องการใช้งานจัดการข้อมูลก็เพื่อเป็นรายละเอียดในการเขียน Software ต่อไป ซึ่งทั้งหมดนี้ยังช่วยให้เป็นการประเมินราคาเบื้องต้นของระบบงานทั้งหมดอีกด้วย


2. Are there any extreme environmental factors to consider ?

การที่จะนำ RFID Solution ไปประยุกต์ใช้งานภายในบริษัท หรือในโรงงานอุตสาหกรรมนั้นไม่ว่าจะเป็นระบบ Stock Tracking หรือจะเป็น Access Control สิ่งหนึ่งที่คุณควรต้องพิจารณาร่วมด้วยนั่นก็คือ “สภาวะสิ่งแวดล้อม” โดยรอบของพื้นที่ที่คุณต้องการติดตั้งตัวอุปกรณ์ RFID เพราะไม่ว่าจะเป็น RFID Reader และ RFID Tag บางชนิดนั้นจะมีข้อจำกัดเกี่ยวกับเรื่องของน้ำ, แสงแดด และอุณหภูมิ เช่น ถ้าคุณต้องการติดตามตรวจสอบสินค้าที่ตัวสินค้าเหล่านั้นอยู่ภายในห้องที่มีอุณหภูมิสูงเกินกว่า 100°C คุณควรเลือกใช้ RFID Tag ประเภท High Temperature Tag ไปติดที่ตัวสินค้านั้นๆ เพราะ High Temperature Tag เป็น RFID Tag ประเภททนความร้อนได้ถึงประมาณ 130°C หรือถ้าคุณต้องการติดตั้งระบบ Access Control เพื่อควบคุมการเข้า-ออกของรถขนส่งสินค้าภายนอกอาคาร อยู่กลางแจ้ง คุณควรเลือก RFID Reader ที่สามารถทนต่อ น้ำฝน, แสงแดดรวมถึงฝุ่นละออง 

การที่เราให้ความสำคัญต่อ “สภาวะสิ่งแวดล้อม” โดยรอบของพื้นที่ในการทำงานของระบบ RFID Solution นั้นก็เพื่อให้การทำงานของอุปกรณ์ RFID ไม่ว่าจะเป็น RFID Tag และ RFID Reader ให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงสุดนั่นเอง


3. What type of read range is required ?

ระบบ RFID เป็นการระบุข้อมูลสิ่งต่างๆ โดยผ่านคลื่นความถี่วิทยุและมีระยะการรับ-ส่งสัญญาณระหว่าง RFID Reader และ RFID Tag ที่ 3 คลื่นความถี่ คือ LF (125 KHz), HF (13.56 MHz) และ UHF (920-925 MHz) เราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่า RFID Solution ที่เราต้องการจะนำมาใช้งานภายในบริษัทหรือภายโรงงานอุตสาหกรรมของเรานั้นควรอยู่ที่คลื่นความถี่อะไร เพราะระยะการรับ-ส่งสัญญาณของคลื่นความถี่ทั้ง 3 ประเภทนั้นไม่เท่ากัน

Low Frequency (LF) 125 KHz เป็นคลื่นความถี่ที่มีการใช้งานทั่วไปในระบบของ RFID มีระยะในการรับ-ส่งข้อมูลที่ใกล้ส่วนมากใช้ในระบบ Access Control คือระบบควบคุมการเปิด-ปิดประตู หรือระบบคีย์การ์ด ระบบลงเวลาทำงานของพนักงาน 

High Frequency (HF) 13.56 MHz โดยส่วนมากแล้วจะนำมาใช้กับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น บัตรสมาร์ทการ์ดแบบ Contactless ซึ่งนิยมนำไปใช้เป็น บัตรเงินสด ที่ใช้ภายในศูนย์อาหารหรือโรงเรียน บัตรสมาชิก บัตรโดยสารรถไฟฟ้า

Ultra High Frequency (UHF) 860-960 MHz เป็นคลื่นความถี่ที่สามารถใช้งานได้ในระยะที่ไกลกว่าช่วงความถี่อื่นๆ นิยมนำมาประยุกต์ใช้งานในการติดตามหรือตรวจสอบของสินค้าตามมาตรฐาน EPC ดังนั้นจึงมีการใช้งานกันมากในงานทางด้านคลังสินค้า งานการผลิต และงานขนส่ง


RFID Reader และ RFID Tag นั้นจำเป็นต้องมีคลื่นความถี่ที่ตรงกันหรือแบบเดียวกันถึงจะทำงานร่วมกันได้ ดังนั้นถ้าคุณใช้งาน RFID Reader คลื่นความถี่ LF แต่ RFID Tag คลื่นความถี่ UHF ก็จะไม่สามารถทำงานร่วมกันได้นั่นเอง คลื่นความถี่แต่ละประเภทมีความสำคัญต่อระบบงาน RFID ของคุณเพราะนอกจากจะทำให้งานของคุณนั้นมีประสิทธิภาพตามความต้องการของคุณแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกอุปกรณ์ RFID ของแต่ละคลื่นความถี่ลงได้อีกด้วย


4. What type of material comprises the items being tagged ?

RFID Tag เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในกระบวนการทำงาน RFID Solution เพราะ RFID Tag คืออุปกรณ์ที่เราต้องนำไปติดกับตัวสินค้าหรือทรัพย์สินเพื่อใช้รับ-ส่งข้อมูลกับ RFID Reader (เครื่องอ่าน) ผ่านทางคลื่นความถี่วิทยุ ซึ่ง RFID Tag แต่ละประเภทนั้นมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกันรวมถึงเรื่องราคาด้วย ดังนั้นในการนำ RFID Tag ไปติดกับตัวสินค้าหรือทรัพย์สินนั้น เราควรต้องรู้ว่าวัสดุของสินค้าหรือทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นวัสดุประเภทอะไร เช่น ถ้าสินค้าหรือทรัพย์สินเป็นประเภท กล่องกระดาษ ชิ้นงานพลาสติก สามารถใช้ RFID Tag แบบ Label Tag ได้ แต่ถ้าหากชิ้นงานหรือสินค้าเป็นวัสดุประเภท เหล็ก หรือ โลหะ เราก็ต้องเลือกใช้เป็น RFID Metal Tag แทน เพราะถ้าหากเรานำ Label Tag ไปติดกับวัสดุที่เป็นเหล็กหรือโลหะ ตัว Tag นั้นจะไม่สามารถใช้งานได้ เนื่องจาก Label Tag ถูกออกแบบมาเพื่อให้ติดกับวัสดุที่เป็นกระดาษ หรือพลาสติกเท่านั้น 

คุณควรตรวจสอบเกี่ยวกับประเภทวัสดุของตัวสินค้า ทรัพย์สิน หรือชิ้นงาน ที่คุณต้องการจะนำ RFID Tag ไปติดว่าเป็นวัสดุประเภทอะไร จะได้เลือกใช้ RFID Tag ให้ตรงกับประเภทวัสดุเหล่านั้นเพื่อประสิทธิภาพที่ดีในการรับ-ส่งสัญญาณของ RFID Tag นอกจากนั้นยังช่วยคุณในเรื่องค่าใช้จ่ายได้อีกด้วยเพราะ RFID Tag แต่ละประเภทนั้นมีราคาที่แตกต่างกันไป


5. Do you have any tag size restrictions ?

หลังจากที่เราตรวจสอบเกี่ยวกับประเภทวัสดุของตัวสินค้า ทรัพย์สิน หรือชิ้นงานที่จะนำ RFID Tag ไปติดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงนั่นก็คือ “พื้นที่ของการติด RFID Tag” ว่าคุณมีข้อจำกัดเรื่องของขนาดพื้นที่ในการติด RFID Tag ของตัวสินค้า ทรัพย์สิน หรือชิ้นงานหรือไม่ เช่น คุณต้องการนำ RFID Tag ไปติดกับเครื่องมือแพทย์ซึ่งเครื่องมือนั้นมีขนาดเล็ก ดังนั้น RFID Tag ที่ควรจะนำไปใช้งานก็จะเป็นประเภท Tool Tag คือ RFID Tag ที่สามารถติดกับวัสดุที่เป็นเหล็กได้และมีขนาดเล็กพอที่จะสามารถนำไปติดกับจำพวกเครื่องมือต่างๆ ได้ หรือถ้าคุณเป็นร้านขายเครื่องประดับที่ต้องการติดตามหรือตรวจนับจำนวนของ แหวน สร้อย กำไล คุณก็สามารถเลือก RFID Jewelry Tag ไปติดกับสินค้าของคุณได้เพราะ RFID Jewelry Tag ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานกับสินค้าประเภทเครื่องประดับโดยเฉพาะ

RFID Tag มีขนาดที่แตกต่างและราคาก็แตกต่างกันไปด้วยเช่นกัน คุณควรเลือกขนาดของ RFID Tag ให้เหมาะสมกับสินค้า ทรัพย์สิน หรือชิ้นงานของคุณเพื่อประสิทธิภาพของการทำงาน RFID Tag นั่นเอง


เราเป็นผู้จำหน่ายอุปกรณ์ RFID แบบครบวงจร เรามี RFID Tag หลากหลายประเภท หลายขนาด รวมทั้ง RFID Reader ที่สามารถ interface ได้ทั้ง USB, RS232, TCP/IP และ Wifi เพื่อให้คุณได้เลือกใช้งานได้ตรงความต้องการของคุณมากที่สุด เรายินดีให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอุปกรณ์ RFID และระบบ RFID Solution ติดต่อเราได้ที่ tel.02-136-9171-4 หรือ 
line : @Smartidentify

Visitors: 374,630